ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ(SWOC) กรมชลประทาน เปิดเผยว่า จากคาดการณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยา พบว่า ในช่วงวันที่ 11 – 14 ส.ค. 67 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้นเป็นกำลังปานกลาง ประกอบกับมีร่องมรสุมกำลังปานกลางพาดผ่านตอนบนของภาคเหนือ และประเทศลาวตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยจะมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตกซึ่งอาจส่งผลให้มีปริมาณน้ำในแม่น้ำสายหลักเพิ่มมากขึ้น
ปัจจุบัน (9 ส.ค.67 เวลา 08.00น.) ที่สถานีวัดน้ำ C.2 อ.เมืองนครสวรรค์ มีน้ำไหลผ่านในอัตรา 1,253 ลบ.ม./วินาที เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำเหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ฝนและรองรับน้ำเหนือที่จะไหลลงสู่เขื่อนเจ้าพระยา กรมชลประทาน ได้ใช้ระบบชลประทาน ทั้ง 2 ฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยา รับน้ำเข้าไปในอัตราที่เหมาะสม พร้อมปรับเพิ่มการระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยาให้อยู่อัตรา 949 ลบ.ม./วินาที ซึ่งจะส่งผลให้ระดับน้ำในพื้นที่ลุ่มต่ำบริเวณคลองโผงเผง จ.อ่างทอง คลองบางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา และชุมชนแม่น้ำน้อย (ต.หัวเวียง อ.เสนา, ต.ลาดชิด ต.ท่าดินแดง อ.ผักไห่) จ.พระนครศรีอยุธยา มีระดับน้ำเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยจะเร่งการระบายน้ำทางตรงออกสู่ทะเลให้เร็วที่สุด เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชนริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาให้ได้มากที่สุด ตามนโยบายของ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
อนึ่ง กรมชลประทาน ได้ติดตามสภาพอากาศและสถานการณ์น้ำท่าอย่างใกล้ชิด บริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ฝนที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน พร้อมประสานไปยังจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนถึงสถานการณ์น้ำ หากระดับน้ำทางตอนบนเพิ่มสูงขึ้นและจะส่งผลให้มีปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มมากขึ้น จะแจ้งให้ทราบในระยะต่อไป จึงขอให้ประชาชนติดตามสถานการณ์น้ำและสภาพอากาศจากหน่วยงานทางราชการอย่างใกล้ชิด