บ่ายวันนี้ (22ส.ค.67) ที่ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ(SWOC) กรมชลประทาน สามเสน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่แทน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์น้ำ และแนวทางการแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย นายชูชาติ รักจิตร อธิบดีกรมชลประทาน และคณะผู้บริหารจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กรมอุตุนิยมวิทยา กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมการปกครอง เข้าร่วมประชุมฯ
จากสถานการณ์ฝนตกหนักต่อเนื่องในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ส่งผลให้ปริมาณน้ำในลุ่มน้ำยม-น่าน เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบัน(22 ส.ค.67 เวลา 10.00น.) ที่สถานีวัดน้ำยม Y.20 อ.สอง จ.แพร่ มีปริมาณน้ำไหลผ่านในอัตรา 1,500 ลบ.ม./วินาที แนวโน้มเริ่มลดลง โดยปริมาณน้ำจะไหลลงสู่พื้นที่ตอนล่าง ที่สถานีวัดน้ำ Y1C บ้านน้ำโค้ง อ.เมืองแพร่ จ.แพร่ ระดับน้ำเพิ่มขึ้นอยู่ในอัตรา 1,008 ลบ.ม./วินาที ระดับน้ำเริ่มล้นตลิ่งบางแห่ง ในขณะที่ สถานีวัดน้ำ Y14A อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย มีปริมาณน้ำไหลผ่านในอัตรา 640 ลบ.ม./วินาที ระดับน้ำเพิ่มขึ้นเล็กน้อย กรมชลประทาน ได้เฝ้าระวังพร้อมควบคุมปริมาณน้ำไหลผ่านประตูระบายน้ำแม่น้ำยม(บ้านหาดสะพานจันทร์) ในอัตรา 540 ลบ.ม./วินาที ด้วยการรับน้ำส่วนหนึ่งผ่านประตูระบายน้ำคลองหกบาท ลงสู่แม่น้ำน่านและแม่น้ำยมสายเก่า ส่วนพื้นที่ด้านท้ายของประตูระบายน้ำบ้านหาดสะพานจันทร์ จะใช้คลองและระบบชลประทานทั้ง 2 ฝั่ง รับน้ำเข้าไปในเกณฑ์ที่เหมาะสม เพื่อควบคุมปริมาณน้ำไหลผ่านสถานี Y.4 อ.เมืองสุโขทัย ช่วยลดผลกระทบต่อพื้นที่เศรษฐกิจและชุมชนในตัวเมืองสุโขทัย
ด้านสถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำน่าน ที่สถานีวัดน้ำ N.64 บ้านผาขวาง อ.ท่าวังผา จ.น่าน ล่าสุดปริมาณน้ำเริ่มลดลง ในขณะที่สถานีวัดน้ำ N.1 สำนักงานป่าไม้ฯ อ.เมืองน่าน และสถานีวัดน้ำ N.13A บ้านบุญนาค อ.เวียงสา ปริมาณน้ำมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากมีปริมาณน้ำทางตอนบนไหลมาสมทบ โดยปริมาณทั้งหมดจะไหลลงสู่เขื่อนสิริกิติ์ในระยะต่อไป ซึ่งปัจจุบันยังสามารถรับน้ำได้อีกกว่า 40 %
สำหรับสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศ ปัจจุบัน(22ส.ค.67)มีปริมาณน้ำรวมกันทั้งสิ้นประมาณ 45,430 ล้าน ลบ.ม. (60% ของความจุอ่างฯ รวมกัน) ยังสามารถรองรับน้ำได้รวมกันอีกกว่า 30,907 ล้าน ลบ.ม. เฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยา 4 เขื่อนหลัก (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) มีปริมาณน้ำรวมกันทั้งสิ้นประมาณ 12,420 ล้าน ลบ.ม. (50% ของความจุอ่างฯ รวมกัน) ยังสามารถรองรับน้ำได้รวมกันอีกกว่า 12,451 ล้าน ลบ.ม. จากการคาดการณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยา พบว่า ร่องมรสุมพาดผ่านตอนบนภาคเหนือ และประเทศลาว ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้มีฝนตกหนักบางแห่งในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับในช่วงวันที่ 22 - 24 ส.ค. 67 จะมีแนวพัดสอบของลมตะวันออกเฉียงใต้และลมตะวันตกเฉียงใต้ในระดับบน ปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ลักษณะเช่นนี้ ทำให้ประเทศไทยมีฝนตกหนักบางแห่ง และมีฝนตกหนักถึงหนักมากในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนในช่วงวันที่ 24 - 27 ส.ค. 67 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน และอ่าวไทย จะเริ่มมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้มีฝนตกหนักบางแห่ง
อนึ่ง กรมชลประทาน ได้ติดตามสภาพอากาศและสถานการณ์น้ำท่าอย่างใกล้ชิดต่อเนื่อง พร้อมนำข้อมูลการคาดการณ์ปริมาณฝน และปริมาณน้ำท่าจากสถานีโทรมาตร มาวิเคราะห์วางแผนการบริหารจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำให้อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนดและสอดคล้องกับสถานการณ์ มีการจัดจราจรน้ำให้สอดคล้องและเชื่อมโยงกันระหว่างพื้นที่ เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำเกิดประสิทธิภาพสูงสุด กำหนดพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยจัดเตรียมเครื่องจักร เครื่องมือ อาทิ เครื่องสูบน้ำ เครื่องผลักดันน้ำ เครื่องจักรสนับสนุนอื่นๆ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ประจำพื้นที่เสี่ยง ที่พร้อมจะเข้าไปช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงที ตลอดจนบูรณาการร่วมกับจังหวัด องค์กรปกครองท้องถิ่น สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนถึงสถานการณ์น้ำให้ประชาชนได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญได้เน้นย้ำให้ทุกโครงการชลประทานปฏิบัติตาม 10 มาตรการรองรับฤดูฝนปี 67 ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบอย่างเคร่งครัด เพื่อให้สามารถป้องกันและบรรเทาปัญหาที่จะเกิดกับประชาชนให้ได้มากที่สุด