เมื่อวันที่ 26 ก.พ.65 สันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย (สสท.) ได้จัดเสวนาเนื่องในวันสหกรณ์แห่งชาติปี 2565 ในหัวข้อ “เศรษฐกิจจะฟื้นหรือจะทรุด สหกรณ์จะหยุดวิกฤตเศรษฐกิจไทยได้อย่างไร?” โดยมีวิทยากรเข้าร่วมเสวนา ได้แก่ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคด้านเศรษฐกิจ และอดีตรองนายกรัฐมนตรี นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม อธิบดีอัยการประจำสำนักงานอัยการสูงสุด ในฐานะประธานสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย และนายรักษ์พงษ์ เซ่งเจริญ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (สทบ.) ซึ่งมี น.ส.จอมขวัญ หลาวเพ็ชร์ พิธีกรชื่อดัง เป็นผู้ดำเนินรายการ ณ ศูนย์การประชุมรัชนีแจ่มจรัส สันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย เขตดุสิต กทม.
โดยนายปรเมศวร์ กล่าวว่า ระบบสหกรณ์ คือฐานรากที่ดีที่สุดในระบบเศรษฐกิจมาตั้งแต่อดีต แต่ในปัจจุบัน แทบจะช่วยเหลือกันไม่ได้ เช่น สหกรณ์ที่มีเงินเหลือ ช่วยสหกรณ์ที่มีเงินขาดไม่ได้ เพราะถูกปัญหาเกี่ยวกับระบบกฎกติกา เนื่องจากถูกมองว่าโตเกินไป 2-3 ปีที่ผ่านมา อย่างในปี 2562 สหกรณ์ทั้งประเทศ มีกำไรประมาณ 60,000 ล้านบาท แต่ในปี 63 สหกรณ์ถูกบีบให้เล็กลง ถามว่ากำไร 60,000 ล้านบาทดังกล่าวส่วนแบ่งจะไปอยู่ที่ใคร ทำให้เกิดปัญหาติดขัด ไม่ได้รับการดูแล เราจะปลดโซ่ตรวนที่มันคล้องเราได้อย่างไร นอกจากนี้คนที่มาเป็นสหกรณ์ไม่ได้มองภาพของสมาชิกแต่มองตัวเองเป็นหลัก ที่มีปัญหาการโกงเงินสหกรณ์กัน ไม่ได้เกิดจากระบบ แต่เกิดจากตัวบุคคลที่มีปัญหา
“อย่างสหกรณ์การเกษตรทำเกี่ยวกับข้าว ถ้านำข้าวที่เป็นผลผลิตขายให้เรือนจำ นักโทษ 3.8 แสนคนทั่วประเทศ จากข้อมูลนักโทษ 1 คนกินข้าวประมาณ 100 กิโลกรัมใน 1 ปี มันก็มีที่ไป แต่เราไม่มีเงินทอนหรือเปล่า เขาก็เลยไม่ซื้อของเรา แถมยังถูกพ่อค้าคนกลางตัดตอน นี่คือปัญหาที่กระทบระบบข้างล่างทั้งหมด เงินออมทรัพย์ก็ไม่สามารถช่วยสมาชิกสหกรณ์ได้ ดังนั้น 2-3 ปีที่ผ่านมา ระบบสหกรณ์ถูกระบบเข้ามากำกับบีบเยอะพอสมควร สหกรณ์ออมทรัพย์ทั้งประเทศถูกสถาบันทางการเงินแทรกแซง ทำให้สมาชิกสหกรณ์เกิดหนี้สิน ขณะที่สหกรณ์ร้านค้า พวกร้านโชว์ห่วยก็ช่วยกันไม่ได้ เพราะถูกร้านสะดวกซื้อกินเรียบ เจอปลาใหญ่กินปลาเล็ก ทำให้เดือดร้อน นั่นทำให้เศรษฐกิจฐานรากกำลังถูกทำลายเหมือนปะการังที่ถูกเรือเร็ววิ่งผ่าน”นายปรเมศวร์ กล่าว
ด้านนายกิตติรัตน์ กล่าวว่า จากการที่ตนติดตามการดำเนินการของสหกรณ์มา ก็มีความเป็นห่วงว่า ปัจจุบันมีการกำกับที่ดูเข้ม เกินความพอดีมากไป และผู้กำกับธุรกิจสหกรณ์ไม่ได้มีความรู้มากพอ ส่งผลให้ศักยภาพของสหกรณ์ลดลง เท่าที่ทราบสหกรณ์ที่ยังดำเนินการอยู่ในปัจจุบันทั้งหมดมีประมาณ 7,000 แห่ง ดังนั้นการจะแก้ไขได้ ต้องนึกถึงการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง คนที่เสนอตัวจะมาบริหารบ้านเมืองคนไหนที่มีแนวคิดกำกับเข้มงวดจนไม่สามารถให้ผู้ปฏิบัติงานทำงานได้ดี ก็อย่าไปเลือก แล้วคนไหนที่มาเสนอแนวคิดสหกรณ์เพียงเพราะหวังคะแนนเสียง แล้วพอชนะเลือกตั้งก็ไม่ทำตามที่หาเสียงไว้ ก็อย่าไปเลือก
ขณะที่นายรักษ์พงษ์ กล่าวว่า สหกรณ์มีศักยภาพกว่าที่คิด จากสมาชิกทั้งหมดทั่วประเทศเกือบ 12 ล้านคน จาก 7,000 สหกรณ์ หากเปรียบเทียบ พรรคเพื่อไทย ของนายกิตติรัตน์ ได้คะแนนเสียง 10 ล้านเสียง น้อยกว่าสมาชิกสหกรณ์อีก ดังนั้นถ้าสมาชิกสหกรณ์รวมตัวกันทำอะไรซักอย่าง เช่น เลือกผู้นำ ตั้งรัฐมนตรี ตนว่าทำได้ เทียบกับพรรคเพื่อไทยได้มา 10 ล้านเสียง ได้ ส.ส.มาจำนวนหนึ่ง เลือกมาเป็นรัฐมนตรีสักคน ก็สามารถแก้ปัญหาได้ นี่คือศักยภาพในแง่จำนวนคน ดังนั้นเราไม่จำเป็นต้องรอให้คนจำนวนน้อยมาช่วยเรา เพื่อมาดูว่าใครจะมากำกับเรา รอว่าจะแก้ไขกฎหมายเมื่อใด ใครจะสงสารเราบ้าง ใครจะทำเงินให้เราบ้าง มันไม่ถูก โดยเฉพาะสันนิบาตสหกรณ์ฯ ถือว่าเป็นผู้รวบรวมสหกรณ์ไว้ด้วยกันทั้งหมดต้องนำปลุกใจสหกรณ์ให้มารวมตัวกันทุกมิติ ลุกขึ้นมาสร้างคะแนนเสียงเพื่อเปลี่ยนแปลงกติกาเราเอง สิ่งใดที่ติดขัดก็จะสามารถแก้ไขด้วยตัวเองได้ เราอย่าฝากความหวังกับคนภายนอก
"อีกไม่นานก็จะมีการเลือกตั้งใหญ่ ผมขอเชิญชวนสมาชิกสหกรณ์เกือบ 12 ล้านคนทั้งหมด ร่วมมือกัน หารือกัน เพื่อเปลี่ยนแปลงนโยบายด้วยตัวเอง ไปนั่งรอใครมาช่วยไม่มีหรอก ประเทศนี้ยาก ท่านต้องรวมตัวกันเอง ท่านรู้ปัญหาท่านเอง สามารถเปลี่ยนแปลงด้วยตัวเองได้ อยู่ที่จะรวมตัวกันหรือไม่" นายรักษ์พงษ์ กล่าว